วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559

ดอกทองกวาว


ดอกทองกวาว

ทองกวาว

1.  ชื่อพันธุ์ไม้   ทองกวาว
2.  ชื่อสามัญ    (ไทย)  กวาว  ก๋าว (ภาคเหนือ)  จอมทอง (ภาคใต้)  จ้า
                     (เขมร สุรินทร์)  จาน (อุบลราชธานี)  ทองธรรมชาติ  ทองพรมชาติ (ภาคกลาง)  
                     ทองต้น (ราชบุรี)
                    (อังกฤษ)  Bastard Teak, Bengal Kinotree, Kino Tree,Flame 
                    of the Forest.
3.  ชื่อวิทยาศาสตร์  Butea monospermao Ktze และมีชื่อพ้องทางพฤกษศาสตร์
                                   คือ Butea frondosa Roxb.
4.  ชื่อวงศ์           Papilionaceae

5.  ลักษณะทางวนวัฒนวิทยา
                   ทองกวาว  เป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผลัดใบ สูง 8-15 เมตร โตวัดรอบลำต้นประมาณ 60-80 เมตร ลำต้นส่วนมากจะคดงอและแตกกิ่งต่ำ เปลือกสีเทาคล้ำ แตกระแหงเป็นร่องตื้น  เมื่อสับเปลือกจะมีน้ำเลี้ยงใส  ถ้าทิ้งไว้สักครู่น้ำเลี้ยงนั้นจะเปลี่ยนเป็นยางเหนียวสีแดงเรื่อ  เรือนยอดเป็นพุ่มกลม ทึบ กิ่งมักคดงอ กิ่งอ่อนมีขนสีน้ำตาลแก่คลุม
                   ใบ  มีลักษณะเป็นช่อ ติดเรียงเวียนสลับ มักรวมกันเป็นกระจุกตามปลาย  กิ่ง ช่อหนึ่ง  มีใบย่อยที่ออกจากจุดปลายก้านช่อจุดเดียวกัน 3 ใบ ก้านช่อยาว 7-15 ซมส่วนก้านใบย่อยสั้นมาก ยาวไม่เกิน 5 มมใบย่อยมีรูปต่าง  กัน โดยที่ใบย่อยใบกลางทรงรูปป้อม  โคนและปลายสอบ บางทีมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนกลาง  ใบย่อยคู่ด้านข้างทรงใบเป็นรูปไต โคนใบเบี้ยว ปลายใบมน กว้าง 8-15 ซมยาว 9-15 ซมเนื้อใบหนา หลังใบเกลี้ยง ส่วนท้องใบสาก
                   ดอก  มีขนาดโต สีแสด บางต้นมีสีเหลือง รูปทรงแบบดอกถั่วขนาดใหญ่ ออกรวมกันเป็นช่อเล็กบ้างใหญ่บ้างตามกิ่งเหนือรอยแผลใบและตามปลายกิ่ง ช่อยาวสุดถึง 15 ซมตามส่วนต่าง  ของช่อมีขนสีน้ำตาลคล้ำ ทั่วไป กลีบฐานดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยป้อม  ปลายแยกเป็นกลีบ 4-5 กลีบ มีขนสีน้ำตาลจากดอกที่อยู่โคนช่อไปสู่ปลายช่อ เกสรตัวผู้มี 10 อัน รังไข่ รูปรี  มีขนอัน แยกเป็นอิสระ 1 อัน ส่วนอีก 9 อัน โคนก้านอับเรณูจะเชื่อมติดกันเป็นหลอดหรือเป็นนางยาวหุ้มเกสรเมียไว้ภายใน รังไข่ รูปรี  ภายในมีช่องเดียวและมีไข่อ่อนหนึ่งหน่วย ปลายหลอดท่อรังไข่จะยาวยื่นพ้นการห่อหุ้มของกลุ่มเกสรผู้ออกมาเล็กน้อย
                   ผล  เป็นฝักแบน  คล้ายรูปบรรทัด กว้างประมาณ 3.5 ซมยาว 14 ซมสีเขียวอ่อนแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอมเหลืองเมื่อแก่เต็มที่ มีขนอ่อนนุ่มสีขาวเป็นมัน ตอนใกล้โคนฝักคดงอเล็กน้อย ภายในมีเมล็ดแบน เมล็ดเดียว
                   ระยะการออกดอก  ออกดอกระหว่างเดือนธันวาคมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เวลาออกดอกจะทิ้งใบหมด ใบใหม่จะเริ่มผลิเมื่อดอกเริ่มโรย
                   ลักษณะเนื้อไม้  เมื่อยังใหม่เนื้อไม้ขาวนวล ไม่มีแก่น ทิ้งไว้กลายเป็นสีนวลปนเทาเป็นไม้เนื้อห่าง หยาบ อ่อน เมื่อแห้งแล้งเบาและหดตัวมาก ไม่แข็งแรง และไม่ทนทาน แต่ถ้าอยู่ใต้น้ำทนดี ความถ่วงจำเพาะ ประมาณ0.70 เนื้อไม้มีความแข็ง ประมาณ 361 กกความแข็งแรง ประมาณ 395 กก./ตร.ซมความดื้อ ประมาณ 49,000 กก./ตร.ซมความเหนียว ประมาณ 2.78 กก.-การผึ่งและอบ ผึ่งให้แห้งด้วยกระแสอากาศได้ง่าย แต่หดตัวมาก และเห็ดราย้อมสีเกาะได้ง่าย จะทำให้ไม้เสียสี มีรอยสีด่างดำ อันเนื่องมาจากเห็ดรา ควรรีบกองผึ่งไว้ในที่โล่งแจ้ง 
(ไม่มีสิ่งปกปิดและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ความทนทานตามธรรมชาติ ตั้งแต่ 1-5 ปี เฉลี่ยประมาณ 3 ปี การอาบน้ำยาไม้ อาบน้ำยาได้ง่ายมาก (ชั้นที่ 1) 
6.  การขยายพันธุ์
                   การขยายพันธุ์ไม้ทองกวาวที่นิยมปฏิบัติกันคือ การใช้เมล็ดเพาะ ส่วนการขยายพันธุ์โดยวิธีอื่นที่มีการศึกษากันบ้างคือ การใช้กิ่งปักชำ
7.  การปลูก การเจริญเติบโต และการปรับปรุงพันธุ์
                   การปลูกทองกวาวส่วนมากเป็นการปลูกเป็นไม้ริมทางและเป็นไม้ประดับ เนื่องจากมีใบและดอกสวยงาม ข้อมูลเกี่ยวกับการเจริญเติบโตและการปรับปรุงพันธุ์มีน้อย การปลูกในรูปสวนป่าอุตสาหกรรมไม่มี แต่การปลูกไม้ป่าชุมชนมีความเป็นไปได้สูง และการปลูกเป็นไม้ประดับและไม้ริมทางจะเพิ่มขึ้น
8. การใช้ประโยชน์
                   1.  เนื้อไม้  ในบางท้องที่ใช้ไม้ทำกระดานกรุบ่อน้ำหรือทำเรือขุด หรือเรือโปงใช้ชั่วคราว กั้นบ่อน้ำ ร่องน้ำและกังหันน้ำ เส้นใยจากเปลือกใช้ทำเชือกหลวม 
                   2.  ใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไร  น้ำเลี้ยงหรือยางใช้รับประทานแก้ท้องร่วง  ใบ ใช้เข้ายาบำรุงกำลัง ใช้ตำพอกแก้ฝีและสิว ถอนพิษแก้ปวด แก้ท้องขึ้น พยาธิ แก้ริดสีดวง  ดอก รับประทานถอนพิษได้ ขับปัสสาวะ ลดความกำหนัด ภายนอกใช้หยอดตาแก้ตาแดง ปวดเคืองตา ตาแฉะ ตามัว  เมล็ด ใช้บำบัดพยาธิภายใน โดยเฉพาะพยาธิตัวกลม ถ้าบดให้ละเอียดผสมกับน้ำมะนาวใช้ทาแก้ผิวหนังเป็นผื่นแดง อักเสบ คัดและแสบร้อน

ดอกมะลิ



ชื่อวิทยาศาสตร์: Jasmim adenophyllum.
ชื่อวงศ์: OLEACEAE
ชื่อสามัญ: Seented Star Jusmine
ชื่อท้องถิ่น: มะลิลา  มะลิหลวง
ลักษณะวิสัย: ไม้พุ่ม
 
 

         ลักษณะทั่วไป:
  เป็นพรรณไม้พุ่มขนาดกลาง  แตกกิ่งก้านสาขาออกรอบๆ ลำต้นสูงประมาณ 58 ฟุต                            ใบเป็นใบเดี่ยวแตกออกเป็นคู่ไปตามก้านต้น  ลักษณะใบป้อมมน  ปลายใบแหลมโคนใบสอบ  ขอบใบแหลม 
โคนใบสอบ  ขอบใบเรียบไม่มีจัก  สีเขียวเป็นมัน  ใบยาว 2-3 นิ้ว มีดอกเป็นดอกเดี่ยว  ออกเป็นช่อตามปลายยอด 
หรือปลายกิ่งประมาณ 3-5 ดอกแล้วแต่ชนิดพันธุ์  ดอกมีสีขาว  กลิ่นหอม  มีทั้งดอกลา  และดอกซ้อน 
ออกดอกตลอดปี
           ประโยชน์:   ปลูกไว้เพื่อความสวยงาม  มีกลิ่นหอม
           ความสำคัญ:  มะลิเป็นไม้ดอกเศรษฐกิจที่นับวันมีความสำคัญมากขึ้น  ประโยชน์ที่ได้รับจากมะลิ
เช่น  เก็บดอกสำหรับร้อยมาลัย  ดอกไม้แห้ง  อุตสาหกรรมน้ำมันหอมระเหย  แล้วยังมีประโยชน์
รวมถึงใช้เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคได้  เช่น  มะลิซ้อนดอกสดใช้รักษาโรคตาเจ็บ แก้ตัวร้อน  แก้หวัด  เป็นต้น